วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

ดร.อัมเบดการ์..ผู้ที่ชาวพุทธควรยกย่อง

กล่าวนำ
ด.ร.อัมเบดการ์ถือว่าเป็นผู้ที่ชาวพุทธควรจดจำ  และยกย่องท่านในฐานะ ที่ท่านได้นำพุทธศาสนากลับเข้ามายังประเทศอินเดียอีกครั้งหนึ่ง  ท่านมีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อสู้ให้ประเทศอินเดียหลุดพ้นจากการเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ เช่นเดียวกันกับ       มหาตะมะคานธี แต่ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะมีจุดมุ่งหมายในการทำงานเหมือนกันแต่มีแนวความคิดต่างกัน  มหาตะมะคานธียึดถือการแบ่งชนชั้นวรรณะในอินเดีย และถือว่าชั้นวรรณะเป็นเอกลักษณ์ของชาวอินเดีย ซึ่งวรรณะของอินเดีย แบ่งออกเป็น 4 วรรณะ  คือ 
  • วรรณะกษัตริย์ หมายถึง กษัตริย์ ทำหน้าที่ปกครอง และปกป้องชาติบ้านเมือง 
  • วรรณะพราหมณ์ หมายถึง ผู้ติดต่อกับเทพเจ้า เป็นผู้ช่วยกษัตริย์ปกครอง ประกอบพิธีกรรม สั่งสอนด้านศาสนา ตลอดจนการจดจำและสืบทอดค้มภีร์พระเวท
  • วรรณะแพศย์ หมายถึง ผู้ประกอบอาชีพค้าขาย หรือเกษตรกรรม 
  • วรรณศูทร หมายถึงกรรมกร ผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งผู้ใช้ทักษะฝีมือ
สำหรับ "จัณฑาลหรืออธิศูทร" ซึ่งหมายถึงบุคคลที่เป็นกาลกิณี  และถือว่าเป็นผู้ไม่มีวรรณะ  ซึ่งหมายถึงบิดาและมารดามีการแต่งงานข้ามวรรณะ  

วรรณะของอินเดีย ๔ วรรณะ
ดร.อัมเบดการ์  ยึดถือความเสมอภาคของมนุษย์เป็นสำคัญ ดังนั้นท่านจึงหาหนทางนำพระพุทธศาสนา กลับเข้าสู่ประเทศอินเดียอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากท่านเห็นว่าพุทธศาสนาเท่านั้น ที่จะทำให้ความเป็นมนุษย์มีความเสมอภาคกันได้ ดังนั้นขอให้เรามาร่วมศึกษาประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจของท่านผู้นี้ โดยข้อมูลเป็นของวัดบรมสถล

ประวัติชีวิตของ ด.ร. อัมเบดการ์

ด.ร.อัมเบดก้าร์

"ด.ร. อัมเบดการ์" ชื่อเต็มของท่าน คือ บาบาสาเหบ พิมเรา รามจิ อัมเบดการ์ (Dr. Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar) เกิดในวรรณะศูทร ที่ยากจนที่สุดตระกูลหนึ่งของอินเดีย ในเมืองนาคปูร์ รัฐมหาราษฏร์ ทางตอนกลางของอินเดีย เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๔๓๔ ท่านเกิดในหมู่บ้านคนอธิศูทร (คนวรรณะจัณฑาล มีชื่อเรียกมากมาย เช่น หริจันทร์ จัณฑาล อธิศูทร ในที่นี้จะใช้คำว่า อธิศูทร) ชื่อว่า อัมพาวดี เป็นบุตรชายคนสุดท้อง คนที่ ๑๔ ของ รามจิ สักปาล และนางพิมมาไบ สักปาล ก่อนที่ท่านอัมเบดการ์จะเกิดนั้น มีเรื่องเล่าว่า ลุงของพ่อเขา ซึ่งไปบวชเป็นสันยาสี  (ผู้ถือสันโดษตามแนวคิดเรื่องอาศรม ๔ ของฮินดู) อาศัยอยู่ตามป่าเขา ได้มาพำนักในแถบละแวกบ้าน "รามจิ" ได้ทราบจากญาติคนหนึ่ง ว่าหลวงลุงของตนมาพำนักอยู่ใกล้ๆ จึงไปนิมนต์ให้มารับอาหารที่บ้าน นักบวชสันยาสีนั้นปฏิเสธ แต่ได้ให้พรแก่ "รามจิ" ว่า "ขอให้มีบุตรชาย และบุตรชายของเธอจงมีชื่อเสียง เกียรติยศในอนาคต ได้จารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ชาติอินเดียซึ่งพรนั้นก็มาสำเร็จสมปรารถนา เมื่อวันที่ท่าน "อัมเบดการ์" เกิดนั้นเอง บิดามารดาได้ตั้งชื่อให้ว่า "พิม" แม้จะเกิดมาในครอบครัวอธิศุทรที่ยากจน แต่บิดาก็พยายามส่งเสียจนเด็กชายพิม สามารถเรียนจนจบประถม ๖  แต่บิดาก็ไม่ได้หยุดที่จะให้บุตรได้รับความรู้ พยายามอดมื้อกินมื้อ เงินที่ได้รับจากการรับจ้างแบกหาม ก็เอามาส่งเสียเป็นค่าเล่าเรียนให้กับเด็กชายพิม จนกระทั่ง สามารถส่งให้เรียนจนจบชั้นมัธยม

ในระหว่างการเรียนนั้น ท่านจะต้องเผชิญหน้ากับความดูหมิ่นเหยียดหยามสร้างความช้ำใจในความทรงจำของท่านเช่นว่า เมื่อท่านเข้าไปในห้องเรียน ทั้งครู และเพื่อนร่วมชั้นต่างก็แสดงอาการขยะแขยง รังเกียจ ความเป็นคนวรรณะต่ำ และท่านก็ไม่ได้รับอนุญาตแม้แต่การที่จะไปนั่งบนเก้าอี้ในห้องเรียน ท่านต้องเลือกที่มุมห้อง แล้วปูกระสอบ นั่งเรียนอยู่อย่างนั้น เวลานำงานมาส่งให้อาจารย์ อาจารย์ก็มีทีท่ารังเกียจไม่อยากรับงานที่ท่านทำส่ง และเวลาที่ท่านถูกสั่งให้มาทำแบบทดสอบหน้าชั้นเรียน นักเรียนในห้องที่เอาปิ่นโต หรือห่ออาหารมากินที่โรงเรียน ที่วางไว้บนกระดานดำ จะเร่งกรูกันไปเก็บเอามาไว้ก่อน เพราะกลัวว่าความเป็นเสนียดของท่าน จะไปติดห่ออาหารของพวกเขาที่วางอยู่บนกระดานดำ แม้แต่เวลาที่ท่านจะไปดื่มน้ำที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ ท่านก็ถูกห้ามอย่างเด็ดขาดที่จะไปจับต้องแท๊งค์น้ำ หรือแก้วที่วางอยู่เพราะ ทุกคนรังเกียจว่าเสนียดของท่าน จะไปติดที่แก้วน้ำ ท่านต้องขอร้องเพื่อนๆ ที่พอจะมีความเมตตาอยู่บ้าง ให้ช่วยตักน้ำแล้วให้ท่านคอยแหงนหน้า อ้าปาก ให้เพื่อนเทน้ำลงในปาก เพื่อป้องกันเสนียด ในความเป็นคนวรรณะต่ำ ซึ่งสร้างความเจ็บช้ำใจให้กับท่านยิ่งนัก

สภาพในห้องเรียน

อย่างไรก็ตามในโลกนี้ก็ยังมีความเมตตาอยู่บ้าง โดยครูท่านหนึ่งผู้มีเมตตาผิดกับคนในวรรณะเดียวกัน บางครั้งครูท่านนี้ก็จะแบ่งอาหารให้กับท่าน แต่ก็แสดงออกมากไม่ได้ เพราะอาจจะถูกคนในวรรณะเดียวกันเกลียดชังไปด้วย เหตุที่ท่านถูกรังเกียจเพราะนามสกุลของท่าน จะบ่งบอกถึงความเป็นอธิศูทร คือ "สักปาล  (นามสกุล ของคนอินเดีย เป็นตัวบ่งบอกวรรณะ) ครูท่านนั้นจึงได้นำนามสกุลของตน เปลี่ยนให้กับท่านใหม่ โดยแก้ที่ทะเบียนของโรงเรียน  โดยให้ใช้นามสกุลว่า "อัมเบดการ์" และจากนามสกุลอัมเบดการ์นี้เอง ทำให้หลายๆคนคิดว่าท่านเป็นคน ใน วรรณะพราหมณ์ 

หลังจากอดทนต่อความยากลำบาก และการถูกรังเกียจจากคนรอบข้าง ที่รู้ว่าท่านเป็นคนอธิศูทร จนในที่สุดท่านก็ได้สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่๖ ซึ่งนับว่าสูงมาก สำหรับคนวรรณะนี้ แต่บิดาของท่านก็ไม่สามารถที่จะส่งเสียให้เรียนต่อไปได้อีก โชคดีที่มหาราชาแห่งเมืองบาโรดา ซึ่งเป็นมหาราชาผู้มีเมตตา พระองค์ไม่มีความรังเกียจคนต่างวรรณะ ปรารถนาจะยกระดับการศึกษาแม้คนระดับอธิศูทร และในครั้งนั้นได้มีนักสังคมสงเคราะห์พาท่าน เข้าเฝ้ามหาราชา พระองค์ได้ทรงพระราชทานเงินทุนในการศึกษาต่อให้เป็นเงินทุนเดือนละ ๒๔ รูปี ทำให้ท่านสามารถเรียนจบปริญญาตรีได้ ต่อมามหาราชาแห่งบาโรดา ได้ทรงคัดเลือกนักศึกษาอินเดีย เพื่อส่งให้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศอเมริกา ซึ่งท่านก็ได้รับการคัดเลือก และในครั้งนี้ท่านได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า อิสรภาพและความเสมอภาค เพราะที่สหรัฐอเมริกานั้น ไม่มีคนแสดงอาการรังเกียจในความเป็นคนอธิศูทร เหมือนอย่างในประเทศอินเดีย และในระหว่างที่ท่านศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย ท่านได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาและค้นคว้า ลัทธิ ความเชื่อ ปรัชญา และศาสนาทุกศาสนา ทำให้ท่านได้ทราบว่าศาสนาที่สามารถสร้างความเสมอภาคให้กับมนุษย์ชาติได้มีเพียง "พุทธศาสนา" เท่านั้น  และหลังจากที่ท่านได้สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกแล้ว เรียกว่ามีชื่อนำหน้าว่า ด.ร.  ท่านก็ได้เดินทางกลับมาอินเดีย และพยายามต่อสู้เพื่อคนในวรรณะเดียวกัน           ไม่ใช่แต่เท่านั้นท่านยังพยายามต่อสู้กับความอยุติธรรมที่สังคมฮินดู ยัดเยียดให้กับคนในวรรณที่ต่ำกว่าอีกด้วย

ด.ร.อัมเบดก้าร์ ในวัยหนุ่ม
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ด.ร. อัมเบดการ์ ได้เป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยซิดนาห์ม ในบอมเบย์ ในปี ๒๔๖๑ ต่อมาได้รับพระราชทานอุปถัมภ์ จากเจ้าชายแห่งเมืองโครักขปูร์ ซึ่งเป็นผู้มีพระทัยเมตตาเช่นเดียวกับมหาราชาแห่งบาโรด้า ที่ปรารถนาจะถอนรากถอนโคนความอยุติธรรม ที่สังคมฮินดู   กีดกันคนในวรรณะอื่นๆ   โดยได้ทรงอุปถัมภ์ให้คนอธิศุทร มารับราชการในเมืองโครักขปุร์ แม้แต่นายควาญช้าง พระองค์ก็เลือกจากคนอธิศูทร 

เจ้าชายแห่งโครักขปุร์ ได้ทรงอุปถัมภ์ในการจัดทำหนังสือพิมพ์ "มุขนายก" หรือ "ผู้นำคนใบ้ของ ด.ร.อัมเบดการ์ เช่นอุปถัมภ์ค่ากระดาษพิมพ์ และอื่นๆ  โดย "อัมเบดการ์" ไม่ได้เป็นบรรณาธิการเอง แต่อยู่เบื้องหลังและเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ในบทความครั้งหนึ่ง มีคำพูดที่น่าสนใจว่า "อินเดียเป็นดินแดนแห่งความเหลื่อมล้ำต่ำสูง สังคมฮินดูนั้นช่างสูงส่งประดุจหอคอยอันสูงตระหง่าน มีหลายชั้นหลายตอน แต่ไม่มีบันไดหรือช่องทาง ที่จะเข้าไปสู่หอคอยอันนั้นได้ คนที่อยู่ในหอคอยนั้นไม่มีโอกาสที่จะลงมาได้ จะติดต่อกับคนในหอคอยเดียวกันในอีกชั้นหนึ่งก็ทำไม่ได้ ใครเกิดในชั้นใดก็ตายในชั้นนั้น" ท่านได้กล่าวถึงว่า สังคมฮินดูว่ามีองค์ประกอบอยู่สามประการ คือ พราหมณ์ มิใช่พราหมณ์ และอธิศูทร พราหมณ์ผู้สอนศาสนามักกล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่ในทุกหนแห่ง ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าก็ต้องมีอยู่ในอธิศูทร แต่พราหมณ์กลับรังเกียจคนอธิศูทร เห็นว่าเป็นตัวราคี นั่นแสดงว่าเขากำลังเห็นพระเจ้าเป็นตัวราคีใช่หรือไม่

ด.ร.อัมเบดก้าร์ ในห้องสมุด
ด.ร.อัมเบดการ์ มีผลต่อความเคลื่อนไหวหลายอย่างในอินเดียขณะนั้น ท่านเป็นอธิศูทรคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของอินเดีย หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช ได้เป็นผู้ร่วมร่างรัฐธรรมนูญของอินเดีย ท่านเป็นผู้ชี้แจงต่อที่ประชุมในสภา โดยการอนุมัติของ ด.ร.ราเชนทรประสาท ให้ชี้แจงอธิบายต่อผู้ซักถาม ถึงบางข้อบางประเด็นในรัฐธรรมนูญหนังสือพิมพ์บางฉบับลงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า "ด.ร.อัมเบดการ์ ทำหน้าที่ชี้แจงอธิบาย เรื่องร่างรัฐธรรมนูญต่อผู้ร่วมประชุม ประดุจพระอุบาลีเถรเจ้า วิสัชชนาข้อวินัยบัญญัติ ในที่ประชุมปฐมสังคายนา ต่อพระสงฆ์ ๕๐๐ มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ฉะนั้น" ซึ่งถือได้ว่าท่านเป็นผู้ต่อสู้เพื่อทำลายความอยุติธรรม ที่ชนในชาติทำกับคนในชาติเดียวกัน  นอกจากนั้นท่านยังได้ผลักดันให้มีสัญญาลักษณ์ของพุทธศาสนาปรากฏเป็นสัญญาลักษณ์ของอินเดียจนถึงปัจจุบัน คือ สัญญาลักษณ์ของพุทธศาสนา เป็นพระธรรมจักรปรากฏที่ธงชาติ

ธงชาติของประเทศอินเดีย
  และได้นำสัญญาลักษณ์หัวเสาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช  กษัตริย์ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง มาใช้เป็นตราสัญญาลักษณ์ประจำชาติของอินเดีย อีกด้วย

สัญญาลักษณ์หัวเสาพระเจ้าอโศกมหาราช
ด.ร.อัมเบดการ์ แต่งงานมีครอบครัว สองครั้ง ครั้งแรกแต่งกับคนในวรรณะเดียวกัน ชื่อว่านางรามาไบ ครั้งที่สองท่านได้พบรักกับแพทย์หญิงในวรรณะพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อว่า ชาดา คาไบ ในโรงพยาบาลที่เขาไปรับการรักษาอาการป่วย เป็นครั้งแรกที่คนในวรรณะต่ำได้แต่งงานกับคนในวรรณะสูง คือวรรณะพราหมณ์ ขณะที่อายุท่านได้ ๕๖ ปี โดยมีนักการเมือง พ่อค้า คนในวรรณะต่างๆมาร่วมงานแต่งงานของท่านมากมาย ต่างจากครั้งแรก ที่ท่านแต่งงานในตลาดสด
หลังจากนั้น ด.ร.อัมเบดการ์ ได้ลงจากเก้าอี้ทางการเมือง เพราะท่านไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่งทางการเมือง การที่ท่านเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ก็เพราะท่านต้องการทำงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนที่อยู่ในวรรณะต่ำ ที่ได้รับการข่มเหงรังแกเท่านั้น  

การแสดงตนเป็นพุทธมามกะเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก กล่าวคือ ด.ร.อัมเบดการ์ได้เป็นผู้นำชาวพุทธศูทรและอธิศูทรกว่า 5  แสนคน ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมาก ตามจริงท่านดร.อัมเบดการ์ สนใจพระพุทธศาสนามาก่อนหน้านี้แล้ว จากการได้ศึกษาค้นคว้าในห้องสมุดขณะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย   และได้อ่านพุทธประวัติที่เขียนโดยท่านพระธัมมานันทะ โกสัมพี ชื่อว่า "ภควาน บุดดา" (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ซึ่งท่านได้ทราบได้จากการศึกษาว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีข้อรังเกียจในเรื่องวรรณะ ไม่ปิดกั้นการศึกษาพระธรรม ให้ความเสมอภาค และภราดรภาพแก่คนทุกชั้น ซึ่งในจิตใจของ ด.ร.อัมเบดการ์ นั้น มีความเป็นชาวพุทธอยู่ก่อนแล้ว แต่ท่านต้องการทำให้เกิดเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็คือ การได้ปฏิญาณตนเป็น ชาวพุทธ พร้อมกับพี่น้องชาวอธิศูทร ในงานฉลองพุทธชยันติ (Buddhajayanti)

ด.ร.อัมเบดการ์ ได้กล่าวสดุดีพระพุทธศาสนา และได้เขียนหนังสือเผยแผ่พระพุทธธรรมหลายเล่ม เช่น"พุทธธรรม "(Buddha and His Dhamma) "ลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนา " (The Essential of Buddhism) และคำปาฐกถา อื่นๆ ที่ ได้รับการตีพิมพ์ภายหลัง เช่น "การที่พระพุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย" (The down fall of Buddhism in india) เป็นต้น

ก่อนหน้าที่จะมีงานฉลองพุทธชยันตี เป็นที่ทราบกันดีว่า ขณะนั้นอินเดียมีชาวพุทธอยู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น "อัพโภหาริก" คือ น้อยมากจนเรียกไม่ได้ว่ามี แต่เหตุที่มีงานฉลองนี้ขึ้นได้ เนื่องจากคำปราศรัยของท่านยวาห์ ราล เนรูห์ ซึ่งท่านได้กล่าวในที่ประชุมโลกสภา (รัฐสภาของอินเดีย เรียกว่า โลกสภา) เรื่องการจัดงานฉลองพุทธชยันตี ว่า "พระพุทธเจ้าเป็นบุตรที่ปราดเปรื่องยิ่งใหญ่ และรอบรู้ที่สุดของอินเดีย  สถานการณ์ในโลกนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เคียดแค้น และรุนแรง คำสอนของพระพุทธเจ้า ส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์ ไม่มีคนอินเดียคนใด ที่จะนำเกียรติยศ เกียรติภูมิ กลับมาสู่อินเดียได้เท่ากับพระพุทธเจ้า หากเราไม่จัดงานฉลองให้พระองค์แล้ว เราจะไปฉลองวันสำคัญนี้ให้กับใครและได้กล่าวอีกตอนหนึ่งว่า  "ข้าพเจ้าไม่ขอนับถือศาสนาใดๆในโลกทั้งนั้น แต่หากจะต้องเลือกนับถือแล้ว ข้าพเจ้าขอเลือกนับถือพระพุทธศาสนา"  

ในงานฉลองพุทธชยันตินั้น รัฐบาลอินเดียได้จัดสรรงบประมาณการจัดงาน ฉลองตลอด ๑ปีเต็ม โดยวนเวียนฉลองกันไปตามรัฐต่างๆ  โดยรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณให้อย่างมากมาย เช่น ทำตัดถนนเข้าสู่พุทธสังเวชนียสถานต่างๆให้ดีขึ้น สร้างธรรมศาลา อำนวยความสะดวกแก่ผู้มาร่วมงานพุทธชยันตีจากประเทศต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือสดุดี พระพุทธศาสนา จัดทำหนังสือวิชาการพระพุทธศาสนา โดยนักปราชญ์หลายท่านเขียนขึ้น ประธานาธิบดีราธกฤษนั้น เขียนคำนำสดุดีพุทธคุณ ให้ชื่อว่า "2500 years of Buddhism" (๒๕๐๐ ปีแห่งพระพุทธศาสนา) ทั่วทั้งอินเดียก้องไปด้วยเสียง "พุทธัง สรณัง คจฺฉามิ"

สำหรับการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะนั้น ท่านอัมเบดการ์ได้นำชาววรรณะศูทรและชาวอธิศูทร ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ที่เมืองนาคปูร์  สาเหตุที่ท่านเลือกเมืองเล็กๆแห่งนี้ แทนที่จะเป็นเมืองใหญ่อย่างบอมเบย์ หรือเดลลี ท่านได้ให้เหตุผลว่า "ผู้ที่ทำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในระยะแรกๆ นอกจากพระสงฆ์ คือพวกชนเผ่านาค ซึ่งเคยถูกพวกเผ่าอารยัน กดขี่ข่มเหง ต่อมาพวกเผ่านาได้พบกับพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมจนพวกเผ่านาคเหล่านั้นเลื่อมใส ปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ และเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่ว เมืองนาคปูร์นี้เป็นเมืองที่พวกเผ่านาคตั้งหลักแหล่งอยู่" (คำกล่าวของท่าน อัมเบดการ์มีมูลอยู่ไม่น้อย  และจะว่าไปแล้ว หลังจากพระพุทธศาสนา เริ่มถูกทำลายจากอินเดีย เมืองนาคปูร์เป็นเมืองที่มีชาวพุทธอาศัยอยู่มาก และเป็นเมืองที่มีชาวศุทร หรือคนวรรณะต่ำอยู่มากอีกด้วย ดังนั้นศูนย์กลางพุทธศาสนิกชนในอินเดียปัจจุบันที่เป็นคนวรรณะศูทร จึงอยู่ที่เมืองนาคปูร์  

การปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ ๕ แสนคน
ในการปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ ๕ แสนคน เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙นั้น มีพระภิกษุอยู่ในพิธี ร่วมเป็น สักขีพยาน ด้วย ๓ รูป คือ ท่านพระสังฆรัตนเถระ (Ven. M. Sangharatana Thera) พระสัทธราติสสะเถระ (Ven. S. Saddratissa  Thera) และพระปัญญานันทะเถระ (Ven. Pannanand Thera) ในพิธีมีการประดับธงธรรมจักรและสายรุ้งอย่างงดงาม ในพิธีนั้นผู้ปฏิญาณตนได้กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ และคำปฏิญญา ๒๒ ข้อ ของท่านอัมเบดก้าร์
  1. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป
  2. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป
  3. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป
  4. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป
  5. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า
  6. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป
  7. ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
  8. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป
  9. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
  10. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
  11. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน
  12. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน
  13. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
  14. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
  15. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
  16. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
  17. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
  18. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา
  19. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ
  20. ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง
  21. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง
  22. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ท่านได้กล่าวว่า   "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชนจากคำปราศรัยในที่ประชุมปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ของ ด.ร.อัมเบดการ์นั้น เป็นการแสดงถึงความเข้าใจอย่างถูกต้อง เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาของท่าน ต่อมาได้มีผู้พิมพ์คำปราศรัยนี้ลงเป็นหนังสือ เป็นคำปราศรัยที่ยาวถึง ๑๒๖  หน้า ขนาด ๘  หน้ายก มีตอนหนึ่งที่ควรกล่าวถึง เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย   พวกเธอมาจากตระกูลต่างๆกัน  ย่อมมีความเสมอกัน     เมื่อมาสู่ธรรมวินัยนี้แล้ว เหมือนมหาสมุทร ย่อมเป็นที่รวมของน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำและทะเลต่างๆ เมื่อมาสู่มหาสมุทรแล้วก็ไม่สามารถจะแยกได้ ว่าน้ำส่วนไหนมาจากที่ใด"

"พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่ปฏิเสธระบบวรรณะ และคนบางคนไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะโจมตีพระพุทธศาสนา หรือ ไม่มีเหตุผลมาหักล้างคำสอนได้ โดยอ้างเอาอย่างหน้าด้านๆว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของพวกนอกวรรณะ"   "ถ้าหากจะมีพระนามใดที่โจษขานกันนอกประเทศอินเดีย ที่โด่งดัง และกล่าวกันด้วยความเคารพสักการะแล้ว  จะมิใช่พระนามของพระราม หรือของพระกฤษณะ แต่จะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า เท่านั้น "

เมื่อนักหนังสือพิมพ์ถามถึงเหตุผลในการนับถือพระพุทธศาสนา ท่านได้กล่าวว่า  "เนื่องจากการ กระทำอันป่าเถื่อนของชาวฮินดูที่มีต่อคนวรรณอธิศูทร  อย่างเช่นท่านมายาวนานกว่า ๒๐๐๐ ปี"  พร้อมกันนั้นท่านได้กล่าวต่อว่า "พอเราเกิดมาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นอธิศูทรซึ่งมีค่าต่ำกว่าสุนัข อะไรจะดีเท่ากับการผละออกจากลัทธิอันป่าเถื่อน ปลีกตัวออกจากมุมมืด มาหามุมสว่าง พุทธศาสนาได้อำนวยสุขให้ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า โดยไม่เลือกว่าเป็นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือแม้แต่อธิศูทร  ตามจริงข้าพเจ้ามีความตั้งใจต้องการเปลี่ยนศาสนามาตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๙๐ แล้ว  แต่สถานการณ์ยังไม่อำนวย ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวว่าระบบวรรณะควรสูญสิ้นไปจากอินเดียเสียที  แต่ตราบใดที่ยังมีการนับถือพระเวทอยู่  ระบบนี้ก็ยังคงอยู่กับอินเดียตลอดไป  อินเดียก็จะได้รับความระทมทุกข์ ความเสื่อมโทรมตลอดไปเช่นกัน  พวกพราหมณ์พากัน จงเกลียดจงชังพระพุทธศาสนา แต่หารู้ไม่ว่าพระสงฆ์ในพุทธกาล ๙๐ % เป็นคนมาจากวรรณะพราหมณ์ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าอยากจะถามพวกพราหมณ์ในปัจจุบันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหากจะมีการหยิบยื่นสิ่งใดๆให้กับคนในชาติเดียวกัน แต่ต่างวรรณะกันเท่านั้น

บั้นปลายชีวิต
เป็นที่น่าเสียดายว่า หลังจากพิธีปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธได้ ๓ เดือน ท่านอัมเบดการ์ได้ถึงแก่กรรม ด้วยโรคร้าย ในวันที่ ๖  ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ (ในอินเดียเป็นปี ๒๕๐๐ อินเดียนับพุทธศักราชเร็วกว่าไทย ๑ ปี เช่นเดียวกับพม่า และ ลังกา)  เสมือนหนึ่งว่าท่านได้ถูกกำหนดมาให้เป็นผู้ที่นำพาพระพุทธศาสนากลับมาสู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง  

เมื่อท่านอัมเบดการ์ถึงแก่กรรม  ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายยุ่งเหยิงให้กับชาวศูทรเป็นอันมาก  เพราะยังไม่ทันที่ท่านจะพาพวกเขาไปถึงจุดหมาย  ท่านก็ต่้องมาด่วนถึงแก่กรรมไปเสียก่อน เสมือนเรือที่ขาดหางเสือ    หลายท่านแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อข่าวการมรณะกรรมของท่าน แพร่สะพัดออกไป ได้มี ทั้งรัฐมนตรีนักการเมืองเดินทางมาเคารพศพ และแสดงความเสียใจแก่ภรรยาของท่าน โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีเนรูห์ได้กล่าวอย่างเศร้าสลดว่า "เพชรของรัฐบาลได้หมดไปเสียแล้ว"

ในวันต่อมา นายกรัฐมนตรีเนรูห์ ได้กล่าวไว้อาลัย ด.ร.อัมเบดการ์ และสดุดีถึงคุณงามความดีของเขาอย่างมากมาย ตอนหนึ่งเขาได้ กล่าวว่า "ชื่อของ "อัมเบ็ดการ์" จะต้องถูกจารึกและจดจำต่อไปอีกชั่วกาลนาน  โดยเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อลบล้าง ความอยุติธรรมในสังคมฮินดู "อัมเบดการ์" ต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นที่จำต้องต่อสู้ "อัมเบดการ์" ได้เป็นคนปลุกให้สังคมของฮินดูห้ตื่นจากความหลับไหล" จากนั้นจึงให้มีการหยุดการประชุมของรัฐสภา เพื่อไว้อาลัยแด่ ด.ร. อัมเบดการ์

ต่อจากนั้นได้มีบุคคลสำคัญต่างๆ ที่ทราบข่าวการมรณกรรมของด.ร.อัมเบดการ์   ได้ส่งโทรเลขไป แสดงความเสียใจต่อภรรยาของดร.อัมเบดการ์   โดย "มุขมนตรีของบอมเบย์" คือนายชะวาน ถึงกับประกาศให้วันเกิดของอัมเบดการ์  เป็นวันหยุดราชการของรัฐ  เพื่อเป็นเกียรติและสดุดีแก่ดวงวิญญาณของท่านอัมเบดการ์   โดยภรรยาของท่านต้องการที่จะนำศพของท่านอัมเบดการ์ ไปทำพิธียังบอมเบย์ ซึ่งรัฐบาลก็ได้จัดเที่ยวบินพิเศษให้   เมื่อเครื่องบินนำศพมาถึงบอมเบย์ ประชาชนหลายหมื่นคน ได้มารอรับศพของอัมเบดการ์ ซึ่งหลายคนไม่สามารถอดกลั้นความเศร้าโศรกไว้ได้ พากันร่ำไห้ไปตามๆกัน

ด.ร.อัมเบดการ์ ผู้เกิดมาจากสังคมอันต่ำต้อย ต่อสู้เพื่อตัวเอง เพื่่อสังคม และเพื่อประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม ตั้งแต่เกิดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต บัดนี้ ท่านได้จากไปแล้ว ทิ้งแต่ความดีเอาไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้สรรเสริญ  บรรดาชาวพุทธในอินเดียเชื่อกันว่า วิญญาณของท่านอัมเบดการ์คงยังไม่ไปไหน แต่จะยังคงวนเวียนอยู่กับพวกเขา และคอยช่วยเหลือพวกเขา เพราะอัมเบดการ์ไม่เคยทิ้งคนจน ไม่เคยลืมคนยาก มีแต่การช่วยเหลือพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาสวด "พุทธัง สรณัง คจฺฉามิ  ธรรมัง สรณัง คจฺฉามิ  สังฆัง สรณัง คจฺฉามิ "  แล้ว  พวกเขายังอ้างเอาด.ร.อัมเบดการ์เป็นสรณะหรือที่พึ่งด้วย โดยสวดว่า "พิมพัง (ขื่อเดิมของอัมเบดการ์) สรณัง คัจฉามิ"  อยู่จนทุกวันนี้

อนุสาวรีย์ของด.ร.อัมเบดก้า
คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
  • มีความมุมานะพยายามในการศึกษาเล่าเรียน แม้จะประสบความยากลำบาก ความเดือดร้อนมากมายเพียงใด ก็ก้มหน้ามุมานะต่อไปโดยไม่หยุดยั้งจนกระทั่งจบปริญญาเอก นี่คือความสำเร็จของเด็กยากจนที่เกิดในวรรณะศูทรที่ได้มาด้วยความมานะพยายาม
  • มีความอดทนเป็นเลิศ เมื่อครั้งศึกษาเล่าเรียน ดร.เอ็มเบดการ์ ได้เผชิญกับปัญหาต่างๆถูกข่มเหงจากนักศึกษาต่างวรรณะ บางคนได้ข่มเหงรังแก ทุบตีอย่างทารุณ แต่ท่านก็ได้กัดฟันต่อสู้ต่อเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยความอดทน และได้นำเหตุการณ์เหล่านั้นมาเป็นกำลังใจให้มีความมุมานะพยายาม ในการศึกษาเล่าเรียนยิ่งขึ้น
  • มีสติปัญญาดี จนสามารถเรียนจนจบปริญญาเอก
  • ยึดมั่นในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ดร.เอ็มเบดการ์ ได้นำหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา เป็นหลักในการปฏิวัติระบบชนชั้นวรรณะของสังคมอินเดีย  ดังที่ท่านประกาศไว้ตอนหนึ่งว่า "ระบบวรรณะนั้นเป็นความบกพร่อง ใครเกิดมาในวรรณะเลวก็ต้องเลวอยู่ทั้งปีทั้งชาติ จะทำอย่างไรก็ไม่มีทางดีขึ้นมาได้ ข้อนี้จึงเป็นเรื่องฟังไม่ขึ้นอีกต่อไป......กฏแห่งกรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครลบล้างได้
  • พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญความเพียร ชัยชนะของแต่ละคนขึ้้นอยู่กับความเพียร ยาจกก็สามารถยกตนขึ้นเป็นมหาเศรษฐีได้ เพราะความเพียร ด้วยที่ท่านมีน้ำใจที่หนักแน่น มีอุดมคติที่สูงส่ง กล้าหาญ เสียสละ จึงได้รับการสมญานามว่า มนุษย์กระดูกเหล็ก ฝีปากกล้า และอภิชาตบุตรของชาวหริจันทร์ (ชาวศูทร)


การใช้อายตะนะเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์

อายตะนะเป็นการรับรู้ของบุคคล 6 ทาง หรือบางครั้งเรียกว่า อายตะนะ 6 โดยการรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ นี้ มีทั้งประโยชน์และโทษในขณะเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำไปใช้กับสิ่งใด กิจกรรมใด หรือภารกิจใด ซึ่งในเรื่องการใช้อายตะนะนี้ "พระพรหมคุณาภรณ์ (ปอ. ปยุตฺโต)" ได้ให้แนวทางและเปรียบเทียบการใช้ "อายตะนะ" ของแต่ละบุคคลโดยท่านได้แบ่งบุคคลออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ บุคคลประเภททืั้่ใช้ "อายตะนะ" ในการ "เสพ" และ บุคคลประเภททืั้่ใช้ "อายตะนะ" ในการ "ศึกษา"

บุคคลที่มุ่งใช้ "อายตะนะ" ในการ "เสพ" จะเป็นการสนับสนุน "กิเลส" ที่อยู่ในตัวตน ซึ่่งจะส่งผลต่อบุคคลนั้นๆ ได้ 3 ทาง คือ ทำให้เกิดทุกข์ ทำให้เกิดสุข และทำให้เกิดอุเบกขา
 
1. "ทำให้เกิดทุกข์" สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นี้ เกิดจากการที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลื่่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส และกระทบเสทือนจิตใจ ในสิ่งที่ตนไม่ชอบ และการไม่ได้ เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลื่่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้สัมผ้ส และไม่ได้ดังใจ ในสิ่งที่ตนหวังและชื่นชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นทุกข์สำหรับผู้ที่มุ่งใช้ "อายตะนะ" เพื่อการ "เสพ" เป็นหนทางแห่ง "โทษะ" ที่ไม่รับการสนองตอบในการ "เสพ" ที่ตนคาดหวัง
 
2. "ทำให้เกิดสุข" สาเหตุที่ทำให้เกิดสุขนี้ เกิดจากการที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลื่่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส และถูกใจ ในสิ่งที่ตนชอบ และ การไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลื่่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้สัมผ้ส และไม่มีสื่งใดมากระทบเสทือนจิตใจ ในสิ่งที่ตนไม่ชื่นชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้ที่มุ่งใช้ "อายตะนะ" เพื่อการ "เสพ" จะรู้สึกเป็นสุข และ จะมีความต้องการ "ความสุข" นี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นหนทางแห่ง "ความโลภ" ก็จะสถิตอยู่ในตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 
3. "ทำให้เกิด "อุเบกขา" บุคคลประเภทนี้้เป็ประเภทที่ ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดๆ ปล่อย "อายตะนะ" ไม่รับรู้ ไม่มีความหวังใดๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้ที่มุ่งใช้ "อายตะนะ" เพื่อการ "เสพ" จะรู้สึกเป็น "อุเบกขา" ของผู้ไม่รู้ ซึ่งเป็นหนทางแห่ง "ความหลง"
 
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่าการใช้ "อายตะนะ" เพื่อการ "เสพ" นั้น จะเป็นหนทางให้ผู้นั้น มี ความโลภ ความโกรธ และความหลง อยู่ในตัวตน และจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า"อายตะนะ" เพื่อการ "เสพ" นั้น เป็นการเติมพลังให้กับ "กิเลส" ในตนนั่นเอง

บุคคลที่มุ่งใช้ "อายตะนะ" ในการ "ศึกษา" จะส่งผลต่อบุคคลนั้นๆเพียง  2 ทาง คือ ทำให้เกิดสุข และทำให้เกิดอุเบกขา
 
1. "ทำให้เกิดสุข" สาเหตุที่ทำให้เกิดสุขได้นี้ เกิดจากการที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลื่่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส และถูกใจ ในสิ่งที่ตนชอบศึกษาหรืออยากที่จะเรียนรู้ ยิ่งได้ศึกษาได้เรียนรู้ก็จะยิ่งอยากรู้มากขึ้น และยิ่งเกิดความสุข ซึ่งผู้ที่มุ่งใช้ "อายตะนะ" เพื่อการ "ศึกษา" จะรู้สึกเป็นสุข
 
2. "ทำให้เกิด "อุเบกขา" บุคคลประเภทนี้้เป็นประเภทที่ "อายตะนะ" ได้รับรู้และได้ศึกษา จนถึงขั้นสูงสุด จึงมีความรู้สึกเป็น "อุเบกขา" ของผู้รู้ ซึ่งเป็นหนทางแห่ง "ความหลุดพ้น"
 
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่าการใช้ "อายตะนะ" เพื่อการ "ศึกษา" นั้น จะทำให้ผู้นั้นพบแต่ความสุขในตัวตน และเป็นหนทางแห่งความหลุดพ้น เมื่อเกิดสภาวะ "อุเบกขา" ในสภาวะที่ได้รับรู้หรือศึกษาถึงขั้นสูงสุด หรือเพียงพอแล้ว แต่หากการศึกษานั้นใช้เป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมการ "เสพ" คือการเรียนรู้เพื่อหาทรัพย์ หรือเพื่อสนอง "กิเลส" ของตนแล้ว "อายตะนะ" เพื่อการศึกษานี้ก็ทำให้ตนเกิดทุกข์ได้เช่นกัน

ความประหยัดวิถีพุทธ

หลายๆคนเมื่อกล่าวถึงความประหยัด อาจนึกไม่ออกว่าแค่ไหนเพียงใดเรียกว่าประหยัด แต่หากใช้การปฏิบัติแนวพุทธเราก็จะได้คำตอบที่ชัดเจน จึงขอยกเรื่องราวในสมัยพุทธกาล เพื่อความเข้าใจ ดังนี้

ในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุ สาวกของพระพุทธเจ้า ได้ออกบิณฑบาตร ไปในที่ต่างๆ ด้วยท่าทางอันสงบ น่าเลื่อมใสยิ่ง จนกษัตริย์ในเมืองนั้นได้เห็นลักษณะท่าทางอันสงบ จึงเกิดความศรัทธา และได้นิมนต์ให้ท่านมารับภัตราหาร และหลังจากการถวายภัตราหารแล้ว กษัตริย์องค์นั้นก็ถวายผ้าขาวให้ 1 พับ และมีการถามตอบกันระหว่างกษัตริย์กับพระภิกษุดังนี้

กษัตริย์.....ผ้าขาวที่ได้ถวายให้ท่านนี้ ท่านจะไปทำอะไร

พระภิกษุ.....ผ้าขาวที่เรารับมานี้ เราจะนำไปย้อมสี ด้วยรากไม้

กษัตริย์.....ผ้าขาวที่ได้ย้อมสีด้วยรากไม้แล้ว ท่านจะไปทำอะไร

พระภิกษุ.....ผ้าขาวที่เราย้อมสี ด้วยรากไม้แล้ว เราจะนำไปเย็บ เพื่อใช้เป็นสบง จีวร เพื่อใช้นุ่งห่ม

กษัตริย์.....สบง จีวร ที่ท่านนุ่งห่ม เมื่อขาด ท่านจะทำอย่างไร

พระภิกษุ.....สบง จีวรที่นุ่งห่มแล้วขาด เราจะนำไปเย็บชุนจนสามารถนำมานุ่งห่มได้อีก

กษัตริย์.....สบง จีวร ที่ท่านเย็บชุน แล้วนำมานุ่งห่มจนขาดมาก ไม่สามารถเย็บชุนจนเป็นผ้าผืนใหญ่ เพื่อใช้นุ่งห่มได้อีก ท่านจะทำอย่างไร

พระภิกษุ.....สบงจีวรที่เย็บชุนแล้วแต่ยังขาดอีกเราก็จะตัดแบ่งเพื่อใช้เป็นม่านบังตาหน้าต่างในกุฏิ

กษัตริย์.....ม่านบังตาที่หน้่าต่างในกุฏิของท่าน หากเปื่อยและไม่สามารถคงสภาพเป็นผืนผ้าได้ ท่านจะ ทำอย่างไร

พระภิกษุ.....ม่านบังตาที่หน้าต่างในกุฏิ หากไม่สามารถคงสภาพเป็นผืนผ้าได้ เราจะนำไปใช้เป็นผ้าถู พื้นในกุฏีของเรา

กษัตริย์.....หากผ้าที่ท่านใช้ถูพื้น มีสภาพเปือย ถูพื้นไม่ได้อีก ท่านจะทำอย่างไร

พระภิกษุ.....หากผ้าที่เราใช้ถูพื้น มีสภาพเปือนจนถูพื้นไม่ได้ เราจะนำผ้านั้นไป วางทางเข้ากุฏิของเรา เพื่อใช้ซับน้ำที่เท้า หลังจากการล้างเท้า

กษัตริย์.....หากผ้าที่ท่านใช้ซับน้ำจากเท้าเปือย จนไม่สามารถซับน้ำจากเท้าได้ ท่านจะทำอย่างไร

พระภิกษุ.....หากผ้าที่ใช้ซับน้ำจากเท้าเปือยมาก ใช้ซับน้ำที่เท้าไม่ได้แล้ว เราก็จะนำผ้านั้นไปผสมกับ ดิน เพื่อซ่อมแซมกุฏิของเรา (กุฏิในอินเดียสมัยพุทธกาลทำจากดิน)

เมื่อกษัตริย์องค์นั้นได้ฟังคำตอบ จึงเกิดความเลื่อมใส และศรัทธา ในแนวทางแห่งพุทธเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ถวายผ้าเพื่มอีกเป็น 100 พับ

จากเรื่องราวสมัยพุทธกาลที่ได้ถ่ายทอดและเล่าสู่กันฟังนี้ จะเห็นได้ว่า "ความประหยัด" ในแนวทางแห่งพุทธะ หมายถึงการใช้ทรัพยากรใดๆก็ตามให้มีคุณค่าสูงสุด หรือเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นให้มากที่สุด นั่นเอง


ชีวิตที่สุขสงบ...ลดทุกข์ให้กับตนเองและผู้อื่น

คำพระท่านได้กล่าวถึงเคร็ดลับในการครองชีวิตการเป็นมนุษย์ให้มีความสุขไว้ว่า "หากยังไม่แต่งงานก็ไม่ต้องแต่ง หากแต่งงานแล้วก็อย่าเลิก แต่ถ้าจำเป็นต้องเลิกก็อย่าแต่งงงานใหม่ "

"หากยังไม่แต่งงานก็ไม่ต้องแต่ง" คนที่ยังเป็นโสดจะไม่มีพันธะผูกพันอะไร ไม่มีห่วง มีภาระต่างๆน้อย และเห็นว่าคนที่แต่งงานแล้วย่อมมีภาระและความรับผิดชอบตามมาอีกมาก ต้องมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน หากอีกฝ่ายประสบภัย หรือต้องพลัดพรากกัน ก็จะเกิดความทุกข์ทบเท่าทวี

"หากแต่งงานแล้วก็อย่าเลิก" คนที่แต่งงานกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องใช้ความอดทนสูง เอื้ออาทรต่อกัน แต่หากต้องเลิกกัน อาจมีสาเหตุจากความขัดแย้ง หรือความเห็นไม่ตรงกัน หรือเรื่องอื่นๆที่ไม่สามารถทนกันได้ ชีวิตครอบครัวล่มสลาย บอบช้ำกันทั้งคู่ ส่งผลให้เกิดความทุกข์กับลูกหลาน และเครือญาติ ดังนั้นผู้ที่ตกลงใชัชีวิตคู่กันแล้ว ก็อย่าเลิกกัน เพราะเท่ากับเป็นการก่อกรรมให้กับตนเอง และผู้อื่น

"หากเลิกก็อย่าแต่งงานใหม่" อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตคู่ บางครั้งก็ไม่สามารถประคับประคองให้ตลอดรอดฝั่งไปได้ ยิ่งในยุคปัจจุบัน ผู้ที่ต้องเลิกร้างห่างกันมีเป็นจำนวนมาก เพราะการแต่งงาน มักใช้ฐานของ SEX ฐานะทางสังคม ฐานะทางการเงิน และหน้าตา เป็นสำคัญ ไม่ได้ใช้ความเข้าใจ ความเอื้ออาทรที่มีต่อกันเป็นฐานของการมีชีวิตคู่ ในสมัยก่อนพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะช่วยพิจารณา ว่าหนุ่มสาวคู่นี้เหมาะสมกันหรือไม่ โดยพิจารณาจากความขยันแข็งในการงาน เป็นคนดีมีศีลธรรม (ผู้ชายจะต้องบวชเรียนแล้ว) ผ่ายหญิงก็จะต้องมีฝีมือการปรุงอาหาร (เสน่ห์ปลายจวักผัวรักจนวันตาย) ชีวิตครอบครัวก็อยู่กันยืนยาว แต่หากจำเป็นต้องแยกทางกัน ก็ไม่ควรแต่งงานใหม่ เพราะคนที่มีครอบครัว แต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ อาจมีข้อบกพร่องที่ไม่เหมาะกับการมีชีวิตคู่ แต่ถ้าหากแต่งงานใหม่ก็จะพบกับปัญหาเดิมๆ และก็อาจจะเลิกกันได้อีก ก่อให้เกิดความทุกข์อยู่ร่ำไปไม่จบไม่สิ้น

จากคำสอนในแนวพุทธนี้ จะเห็นได้ว่าเน้นการใช้ชีวิตที่ผาสุก ลดทุกข์ให้กับตนเอง และป้องกันทุกข์ที่จะเกิดกับผู้อื่น ไม่มีบาปติดตัว มุ่งสู่สายธารแห่งธรรม ก้าวสู่ความหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง มีชีวิตที่สุขสงบทั้งโลกนี้ และโลกหน้า

"แรงศรัทธา"... พลังอันยิ่งใหญ่สรรสร้างได้ทุกสรรพสิ่ง

ศรัทธาเป็นความเชื่อของบุคคลต่อสิ่งต่างๆ สำหรับพุทธศาสนาจะกล่าวถึง "ศรัทธา 4" คือ เชื่่อกฏแห่งกรรม เชื่อผลแห่งกรรม เชื่อว่าสรรพสัตว์มีกรรมของตนเอง และความเชื่อในการตร้สรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งศรัทธาที่เป็นคุณสมบัติประจำของชาวพุทธนี้เอง ก่อให้เกิดการปฏิบัติในการให้ทาน การรักษาศีล และการปฏิบัติภาวนา/สมาธิ เพื่อให้ตนพ้นทุกข์ก้าวสู่สายธารแห่งธรรม นำจิตวิญญานให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร

การให้ทานเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธา ที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุด "ทาน"ที่ผู้ให้จะได้รับอานิสงส์มากที่สุด จะต้องประกอบด้วย 3 กาล คือ มีเจตนาที่จะให้ ขณะให้มีเจตนาและเต็มใจให้ และ ปิติยินดีในการให้ของตน ซึ่งอานิสงส์แห่งทานนี้ จะส่งผลบุญต่อผู้ยินดีร่วมอนุโทนาด้วย ถึงแม้ผู้นั้นจะไม่มีเจตนาแต่แรก และไม่ได้ใช้ทรัพย์สินหรือสิ่งของใดๆของตนให้ทาน แต่ปิติยินดีในการให้ทานของผู้อื่น ก็จะได้รับบุญเช่นกัน ซึ่งผลบุญนี้จะเทียบเคียงได้กับการให้ทานในกาลที่ 3

คำว่า "ทาน" สำหรับชาวพุทธ เป็นการให้ที่เกิดจากศรัทธา หากการให้นั้นได้พิจารณาร่วมกับปัญญา ถือได้ว่าเป็นการให้อย่างชาญฉลาด อานิสงส์ก็จะตกอยู่กับทุกฝ่าย การทำนุบำรุงพุทธศาสนาของชาวพุทธเรา มักมุ่งเน้นในการสร้างสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะเห็นได้จากมีวัดวาอารามเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเชื่อว่าการสร้างวัดหรือสร้างพระเป็นการสร้างกุศลที่ยิ่งใหญ่ จนเราลืมไปว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธเราควรให้การสนับสนุน ก็คือการสร้างคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งคงไม่มีองค์กรใดจะทำได้ดีกว่าสถาบันศาสนา

ปัจจุบันชาวพุทธเราปล่อยให้นักการศึกษา ซึ่งได้รับศึกษาและได้รับความรู้ทางโลกเพียงด้านเดียว จัดการศึกษาเพียงลำพัง  จึงทำให้การศึกษาสนองเพียงกิเลสของมนุษย์ให้เพิ่มพูนมากขึ้น จะเห็นได้จากพฤติกรรมการแก่งแย่งกันเพื่อความก้าวหน้าของตนเองและพวกพร้อง โดยการปลูกฝังพฤติกรรมที่เอาเปรียบให้กับลูกหลานของตนเอง ด้วยการวิ่งฝากเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเสียเงินเสียทองเท่าไรไม่ว่า ขอให้ลูกหลานของฉันได้เข้าเรียน   เมื่อสำเร็จการศึกษาก็ฝากให้เข้าทำงานอีก และเมื่อได้งานทำแล้ว ยังฝากให้มีตำแหน่งสำคัญๆในองค์กรนั้นๆอีก   ดังนั้นลูกหลานของคนที่มีฐานะยากจน ที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนดีก็คงเป็นได้แค่เพียงผู้ตามที่มีผู้ด้อยปัญญาและด้อยคุณธรรมเป็นผู้นำ

แต่หากวัดทุกวัดในประเทศ พร้อมใจกันแปรสภาพเพื่อรับบทบาทในการสร้างคนให้เป็นมนุษย์ โดยใช้ปัจจัยจากแรงศรัทธาของญาติโยม ปรับเปลี่ยนจากการสร้างสิ่งก่อสร้างมาเป็นการสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยแต่ละวัดต้องดำเนินการตั้งโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนเอกชนภายใต้มูลนิธิของวัดนั้นๆ และใช้ทรัพยากรผู้สอน ซึ่งอาจจะเป็นครูผู้เกษียณอายุแล้ว หรือพระภิกษุที่มีความรู้ ตลอดจนคนในชุมชน และปราญ์ชาวบ้าน ช่วยกันสอนสั่งบุตรหลาน เพื่อเป็นกำลังของชาติที่ดีมีคุณภาพในอนาคต สำหรับโรงเรียนของหน่วยราชการที่ใช้พื้นที่ของวัดในในการจัดการศึกษา  คงต้องขอคืนมาให้อยู่ในความดูแลของมูลนิธิของวัด  และร่วมกันระดมทรัพยากรเพื่อการจัดการศึกษา เพราะนับวันการจัดการศึกษาด้วยการนำพาของนักการศึกษาเหล่านี้ ไม่สามารถสร้างคนให้เป็นมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์

หากจะสร้างประชากรที่ดีและมีคุณภาพให้เกิดขึ้นในอนาคต ชาวพุทธเราคงจะต้องหันมาช่วยกันสนับสนุนวัด เพื่อให้เป็นสถาบันหลักในการจัดการศึกษา ซึ่งจะเห็นได้จากความสำเร็จของโรงเรียนภายใต้มูลนิธินักบุญในศาสนาคริสต์  ซึ่งมีผู้นิยมเรียนเป็นจำนวนมากและอาจนิยมเรียนมากกว่าโรงเรียนที่ภาครัฐจัดการศึกษาอีก   ซึ่งถึงแม้ว่าโรงเรียนเหล่านี้จะมีค่าใช้จ่ายในการเรียนสูงก็ตาม    แต่หากจะให้โรงเรียนภายใต้มูลนิธิของวัดมีผู้นิยมเข้าเรียน อันดับแรกต้องจัดการศึกษามุ่งสู่คุณธรรมและความดีตามหลักพุทธ    อันดับสองก็คือภาษาอังกฤษต้องอยู่ในระดับที่สื่อสารได้ อันดับสามคือ ภาษาจีน และภาษาของประเทศกลุมอาเซียน อันดับสี่ เน้นการสอนวิชา คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิชาสังคมศึกษา วิชาความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และมนุษยชาติ และวิชาที่ว่าด้วยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  เป็นต้น

ตราบใดที่เราไว้วางใจและปล่อยให้ภาครัฐจัดการศึกษาเพียงลำพัง ความล้มเหลวของการสร้างคนก็จะมาเยือน เพราะกลไกที่ขับเคลื่อนการศึกษาของภาครัฐ   มิได้มุ่งที่ประโยชน์ของผู้เรียนแต่เพียงอย่างเดียว แต่หากมุ่งประโยชน์ด้านความก้าวหน้า    ฐานะทางสังคม  ฐานะทางการเงิน    จึงเป็นการลดทอนคุณภาพและคุณค่าของการศึกษาให้ด้อยลงไป  และนับวันการศึกษาจะลงลึกสู่ความล้มเหลว ที่คาดหวังไม่ได้เลยว่าประชากรในอนาคตเราจะสามารถพึ่งพาเขาเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใด

๒ มงคลแห่งการคบคน และ ๑ มงคลแห่งการเลือกสถานที่อยู่ จากมงคล ๓๘ ประการ

"มงคล 38 ประการเป็นเหตุแห่งความสุข ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิตมนุษย์" เป็นการตรัสตอบของพระพุทธองค์ต่อเหล่าเทวดาที่ได้ทูลถามว่า "คุณธรรมใดที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ประสบความสุขความเจริญรุ่งเรือง"

เพียง 3 มงคล ในมงคล 38 ประการ คือการเลือกคบคน 2 มงคล และการเลือกสถานที่อยู่อาศัย 1 มงคล ก็เป็นมงคลที่เห็นภาพของความเจริญมาสู่ตนแล้ว

มงคลที่ 1 การไม่คบคนพาล การหลีกเลี่ยงไม่คบคนชั่วคนพาล ชีวตก็จะไม่ตกต่ำ และไม่ถูกชักชวนให้ประพฤติชั่วไปด้วย ดั่งคำกล่าวที่ว่า "คบคนเช่นใดก็เป็นคนเช่นนั้น" หรือ "คบคนพาลพาไปหาผิด"

มงคลที่ 2 การคบบัญฑิต การมีเพื่อนเป็นผู้รู้คนดีมีคุณธรรม ย่อมเสริมให้เราคิดแต่สิ่งดีๆ ได้รับความรู้ มีสง่าราศรี ชวนกันประพฤติแต่สิ่งดีๆที่สร้างสรรค์ ชีวิตไม่มีวันตกต่ำ ดังคำกล่าวที่ว่า "คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล"

มงคลที่ 4 การอยู่ในถิ่นอันสมควร สถานที่อยู่ไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่ หรือชนบท ก็สามารถอาศัยอยู่ได้อย่างมีความสุข แต่สถานที่นั้นจะต้องเป็นที่อยู่ของคนดี ปราศจากคนพาล มีอาหาร มีสถานพยาบาล มีสถานศึกษา การเดินทางสะดวก เพราะสถานที่อันเป็นมงคลนี้ เมื่ออาศัยอยู่ก็สุขสบายทั้งกายและใจ หากขาดองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้วนี้ ความใหญ่โตของที่อยู่ไม่มีความหมาย ดังตำกล่าวที่ว่า "คับที่อยู่ได้แต่คับใจอยู่ยาก"

เพียงมงคล 3 ประการ ใน 38 ประการ หากเราปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ ก็ทำให้เราได้เห็นภาพแห่งสุขความเจริญแห่งตนแล้ว และหากเราสามารถประพฤติครบทั้ง 38 ประการ การดำรงชีวิตมนุษย์ตลอดชาตินี้ก็จะพบ แต่ความสุขและความเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน

๔ มงคลแห่งการสงเคราะห์บุคคล จากมงคล ๓๘ ประการ

หากเราได้ดูแล บำรุง และสงเคราะห์บุคคลที่ปรากฏอยู่ใน มงคลที่ 11 คือบิดามารดา มงคลที่ 12 คือบุตร มงคลที่ 13 คือภรรยา หรือคู่ชีวิต และมงคลที่ 17 คือ ญาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมงคล 38 ประการแล้ว ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบังเกิดศิริมงคลและก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนอย่างแน่นอน

มงคลที่ 11 การบำรุงบิดามารดา ผู้ที่เป็นผู้ให้กำเนิดเราในโลกนี้ ก็มีเพียงอยู่ 2 ท่าน เท่านั้น นอกจากท่านจะเป็นผู้ให้กำเนิดเราแล้ว ท่านยังเลี้ยงดู สั่งสอน ส่งเสียให้ร่ำเรียน คอยห่วงใย หากมีฐานะดีก็จะมอบมรดก หรือให้สืบทอดธุรกิจแทนท่าน พระคุณนี้คงไม่มีวันทดแทนหมดสิ้น หากผู้ใดมีความกตัญญูเลี้ยงดู บำรุง บิดามารดา ก็มักจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เสมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในบ้าน ในทางกลับกันบุตรคนใดที่ไม่เหลียวแล และไม่เลี้ยงดูบิดามารดาก็มักจะมีสภาพตกอับ ทำการสิ่งใดมักไม่ประสบผลและล้มเหลว หากเขาเหล่านั้นมีบุตรบ้าง บุตรของเขาก็ทอดทิ้งและไม่ดูแลเลี้ยงดูเช่นกัน

มงคลที่ 12 การสงเคราะห์บุตร บุตรเป็นผู้ที่เราให้กำเนิด การตั้งใจเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี ให้มีที่พำนัก ส่งเสริมให้ความรู้ แนะนำอาชีพที่สุจริตและมั่นคงให้ ก็ย่อมจะเป็นสง่าราศรีให้กับวงศ์ตระกูล รวมทั้งบิดามารดาเอง เพราะต้องถือว่าบุตรธิดาคือผู้ที่จะเป็นตัวแทนของเราในอนาคต หากมีบุตรธิดาดีก็เป็นศรีมีหน้ามีตากันทั้งตระกูล

มงคลที่ 13 การสงเคราะห์ภรรยา ภรรยาหรือคู่ชีวิตเป็นผู้ที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ พยายามถนอมน้ำใจกันช่วยเหลือกัน เพราะภรรยาก็คือผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา สามารถปรับทุกข์ หารือในปัญหาต่างๆได้ หากเขามีความสุขอยู่สบาย เราก็มีแต่ความสุขทั้งใจและกายเช่นกัน มีตัวอย่างมากมายที่ภรรยาเป็นพลังผลักดันสร้่างให้เกิดความเจริญ และภรรยาก็ถือได้ว่าเป็นศักดิ์เป็นศรีของผู้ที่เป็นสามีอีกด้วย

มงคลที่ 17 การสงเคราะห์ญาติ การสงเคราะห์ญาติพี่น้องก็ถือเป็มงคลแห่งตนเช่นกัน ดังนั้นหากเขาติดขัดมาขอความช่วยเหลือ เราก็ควรให้ความอนุเคราะห์อย่าหลบเลี่ยง ช่วยแก้ปัญหาและหาทางออกให้ หากวันใดเราตกต่ำหรือเกิดปัญหา ญาติพี่น้องเหล่านี้ก็จะช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งเราเช่นกัน

การบำรุงบิดามารดา การสงเคราะห์บุตร ภรรยา และญาติ ย่อมเป็นศิริมงคลที่จะเสริมสร้างชีวิตของเราให้พบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งเทพและมนุษย์ย่อมสรรเสริญ